ไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 ขวด อาจส่งผลต่อความบ้าในตัวคุณ
ย้อนกลับไปก่อนการตัดสินใจบ้าๆนี้ เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2023 ผมทำงานเป็น Software Developer ในองค์กรที่ทำธุรกิจด้านการศึกษามาประมาณ 2 ปีแล้ว ก่อนหน้าผมทำงานอื่นในสายงานที่แตกต่างกันไปอย่างสุดขั้ว ได้มาอยู่ตรงนี้เพราะย้ายสายงานมาหลังจากผ่านการฝึกฝนกับ Generation Bootcamp เพิ่มพูนความรู้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ผมเริ่มอาชีพแรกในชีวิตด้วยการเป็น Recruiter อยู่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลทำหน้าที่สัมภาษณ์และคัดเลือกคนเข้าสู่องค์กร เคยทำงานเป็นพนักงานต้อนรับในโรงแรมเล็กๆ ทำงานกะเช้า มากสุดก็กะดึก ชีวิตช่วงนั้นผมเป็นมนุษย์ค้างคาว กลางคืนทำงาน ได้นอนตอน 6 โมงเช้าและตื่นอีกทีตอนเที่ยงตรง เป็นงานที่บั่นทอนสังขารมากที่สุดในชีวิต มันรู้สึกได้เลยว่าภายในของเราเสื่อมด้วยอัตราเร่งที่มากกว่าปกติ เพราะเราใช้ชีวิตที่ไม่ปกติ นอกจากนั้นยังเคยทำงานเขียนคอนเทนต์ในช่วงสั้นๆ ขับแกร็บรับส่งคน ขับไลน์แมนส่งอาหาร ผมเคยทำมาแล้วทั้งสิ้น แต่ทั้งหมดทั้งมวล ผมก็ยังรู้สึกถึงความว่างเปล่า รู้สึกเหมือนชีวิตวนลูปอยู่แค่ บ้าน-ที่ทำงาน-บ้าน ทุกวัน งานปัจจุบันของผมต้องสู้รบปรบมือกับโค้ดเต็มหน้าจอ ฟีเจอร์ใหม่ บั๊กเก่า ใช้ชีวิตเหมือนหุ่นยนต์ เช้าตื่นมาก็แก้บั๊ก กลับบ้านมาก็นอน วันหยุดก็นอนชดเชย อยู่ในลูปอันแสนน่าเบื่อ มันยิ่งตอกย้ำให้เราตระหนักรู้ว่าเหมือนมีบางอย่างได้ขาดหายไปจากชีวิต ตอนนั้นผมรู้สึกอึดอัดมาก ชีวิตมันซ้ำซากจำเจ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้หัวใจเต้นแรง
แล้ววันนึง ผมนั่งเปิดดู New Year Resolution ในสมุดบันทึกที่เขียนไว้ทุกปี (แต่ไม่เคยทำสักข้อ) ผมเจอข้อความเขียนไว้ด้วยลายมือตัวเองว่า "อยากเที่ยวทั่วประเทศไทย" ถ้อยคำนี้กระตุกจิตกระชากใจของผมอย่างมาก ผมเปิดไปดูรูปเก่าๆสมัยยังเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้วสะท้อนใจ เพราะสมัยนั้นผมคือเด็กกิจกรรมตัวยง เพื่อนชวนไปไหนผมไปหมด ขึ้นเหนือล่องใต้ ไปจัดค่าย ไปบำเพ็ญประโยชน์ ผมเคยเดินทางไปถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พอมาตอนนี้เหมือนกำลังนั่งดูหนังไม่ตรงปก เพราะผมแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย ประกอบกับกำลังจะอายุ 30 ปีแล้ว มันเหมือนมีเสียงในหัวดังขึ้นว่า ถ้าไม่ทำตอนนี้ แล้วจะทำตอนไหน? ตอนแก่แล้ว? ตอนที่มีภาระเยอะแล้ว? ตอนที่ไม่มีแรงจะเดินแล้ว? ถามตัวเอง คำตอบคือ "ต้องทำตอนนี้แหละ!" ณ บัดนี้ ณ บัดนาว แจ่มจะแด้มแจ่มว้าววว (ร้องเพลงพี่บี้)
ไม่เล่นลิ้น ทริปนี้เอาจริงไม่ติงนัง
ผมเริ่มคิดหมกมุ่นอยู่ทุกวัน นั่งทำงานก็คิด กลับบ้านก็คิด อาบน้ำก็คิด ก่อนนอนก็คิด ตื่นมาก็คิด อยากออกไปข้างนอก อยากไปเที่ยว ไปพบประสบการณ์ใหม่ๆ เติมพลังชีวิตให้ตัวเอง คิดแล้วคิดอีก คิดไปคิดมา ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่า "กูทำแน่!" เร็วๆนี้เลย
ถ้าไปเป็นทริปสั้นๆคงไม่สาแก่ใจ ผมอยากไปแบบยาวๆ อยากไปแบบได้สัมผัสทุกภาค ได้เห็นวิถีชีวิตคนหลากหลาย ได้กินอาหารแปลกใหม่ ได้เจอวัฒนธรรมที่ไม่เคยเห็น ช่วงนั้นผมชอบดูคลิปพี่บอลพาเที่ยวมาก เค้าขี่รถมอไซค์เวฟเหมือนของผมเลย พี่แกเที่ยวได้สนุกมาก แถมยังไปตลอดรอดฝั่ง ผมเลยเกิดแรงบันดาลใจเอาบ้าง คือมั่นใจมาก ไม่ว่ารถจะเล็กแค่ไหน ถ้าใจเราใหญ่พอ มันก็ไปได้ทุกที่! พี่บอลทำได้ผมก็ทำได้วะ คิดในใจ "ไม่ต้องพร้อม ไม่ต้องมีรถดีๆ ไม่มีเวลา ก็ลาออกสิวะ ค่อยมาหางานใหม่!" บ้าบอสุดๆ
เงินเก็บมีนิดหน่อย พอจะใช้เที่ยวได้ 3 เดือนแบบประหยัดๆ ผมเริ่มวางแผนเส้นทาง วางแผนสถานที่ที่อยากไป ศึกษาเรื่องการเดินทาง เรื่องที่พัก เรื่องอาหารการกิน เรื่องการประหยัดเงิน แม้กระทั่งเรื่องการซ่อมรถด้วยตัวเองเบื้องต้น เผื่อไปแล้วรถมีปัญหา
เตรียมตัวอยู่ 6 เดือน ซื้อของที่จำเป็น เต็นท์ ถุงนอน เสื้อกันฝน อุปกรณ์ทำครัว Power Bank สำรอง อุปกรณ์ปฐมพยาบาล ไฟฉาย มีดพก เชือก ทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็น ผมเตรียมร่างกายด้วยการออกกำลังกายบ้าง ฟิตไว้เพราะรู้ว่าต้องนั่งขี่รถนานๆ บริหารตูดให้เข้าที่ ลองไปนอนเต็นท์บ่อยๆ ช่วงนั้นผมไปเยี่ยมน้องชายซึ่งทำงานอยู่แถวๆระยอง ก็ไปตั้งแคมป์ที่เขาชะเมา ฝึกกางเต็นท์ ฝึกก่อไฟ ฝึกทำอาหารง่ายๆ เมนูอาหารญี่ปุ่นผมชอบทำมาก (ต้มมาม่า)
เตรียมรถด้วย เปลี่ยนอะไหล่ทั้งหมดที่คิดว่าอาจจะมีปัญหา เปลี่ยนยาง เปลี่ยนโช้ค เปลี่ยนโซ่ เปลี่ยนสเตอร์ เปลี่ยนหัวเทียน เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตรวจเช็คทุกระบบให้พร้อมที่สุด ผมเตรียมตัวแน่นขนาดนี้แต่แฟนก็ยังไม่เห็นด้วย เป็นห่วงมาก ซึ่งผมก็เข้าใจความเป็นห่วงของเธอเป็นอย่างดี แต่ครั้งนี้ในเมื่อตั้งใจแล้ว ก็ต้องทำให้ได้ ได้แต่บอกเธอไปว่า "จะกลับมา และไม่ตายแน่ๆ สัญญา"
อ้อ! ผมไปทำประกันท่องเที่ยว ประกันอุบัติเหตุไว้ด้วย จัดเต็มความคุ้มครองสูงสุดเท่าที่จะทำได้ เพราะรู้ว่าการเดินทางแบบนี้มันเสี่ยง อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันอยู่เสมอ วันนึงพี่ไปรษณีย์มาส่งเอกสารกรมธรรม์ที่บ้าน แม่ตกใจเลย "ทำไมต้องทำประกันด้วย? มันอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอลูก?" ผมก็บอกไปว่า "กันไว้ดีกว่าแก้ ถ้าเป็นอะไรไปจริงๆก็มีคุ้มครองอยู่ ไม่ต้องห่วง" ผมพยายามทำให้แม่และแฟนสบายใจที่สุด ถึงแม้ในใจผมเองก็กังวลเหมือนกัน จะมีแต่น้องชายผมนี่แหละสนับสนุนแบบสุดๆ เนื่องจากพื้นฐานเป็นคนประเภทเดียวกัน อยู่ในวงค์ผีเห็นผี แม้ว่าอายุจะห่างกันถึง 7 ปีก็ตาม
ลาออก เตรียมตัวออกเดินทางได้ 3 2 1!
พอทุกอย่างพร้อมสรรพ ผมก็ไปเขียนใบลาออกที่บริษัทในเดือนพฤศจิกายน ปี 2023 ผมเขียนเหตุผลลงในช่องนั้นว่า "ลาออกเพื่อไปขี่รถเวฟเที่ยวทั่วไทย 90 วัน" ทุกคนงงแต่ก็เข้าใจ และอวยพรให้ผมเดินทางปลอดภัย ไดเร็คเตอร์ใหญ่ของทีมบอกกับผมก่อนลาจากกันว่า ถ้ามีโอกาสก็กลับมาที่นี่อีก ผมยิ้มและพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ
ผมป่าวประกาศในโซเชียลมีเดีย บอกว่าจะทำ Career Break 90 วัน จะขับรถเวฟเที่ยวไปทั่วประเทศไทย เพื่อนๆแห่กันมาให้กำลังใจอย่างล้นหลาม บางคนก็บอกว่ากล้าดีหว่ะ บางคนก็บอกว่าอิจฉา แต่ทุกคนเปี่ยมด้วยกำลังใจ ทุกคนอยากให้ผมได้ทำในสิ่งที่ฝัน และก็ไม่ลืมที่จะอวยพรให้การเดินทางครั้งนี้ปลอดภัยในทุกเส้นทาง ทุกที่ที่ไป
เวลาผ่านไปจนถึงวันสิ้นปี 2023 นับถอยหลัง 7 วันสุดท้ายก่อนออกเดินทาง (วันที่ 8 มกราคม 2024) ผมนั่งมองรถเวฟคู่ใจ มันไม่ใช่รถที่สวยหรือแรง มันเป็นแค่รถธรรมดาๆ คันเล็กๆ แต่ผมเชื่อโดยสนิทใจว่ามันจะพาผมไปสู่การผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
เช้าวันออกเดินทาง ผมตื่นแต่เช้ามืด จัดกระเป๋า เตรียมทุกอย่างให้พร้อม กินกับข้าวฝีมือแม่ ส่งข้อความติดต่อกับแฟน ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะผ่านไปทางหน้าบ้านแฟนแต่โดนห้ามไว้ ด้วยกลัวว่าจะร้องไห้เสียน้ำตาที่จะไม่ได้เจอกันนานๆ ผมรักเธอเสมอ เลือกหนทางตามที่เธอสบายใจ ผมขี่รถออกจากบ้านตอน 6 โมงเช้า หัวใจเต้นแรง ตื่นเต้น กังวล แต่ก็มีความสุขที่สุด รู้สึกเหมือนเป็นนักสำรวจที่กำลังจะออกค้นพบดินแดนใหม่ เหมือนเป็นอิสระจากทุกอย่างที่เคยผูกมัด ถึงกระนั้นเองลึกๆก็ยังรู้สึกกลัว เพราะรู้ว่าการขับรถออกมาวันนี้ผมจะไม่ได้กลับมาบ้านอีก อย่างน้อยๆก็ 60 วันตามแพลนที่วางไว้สำหรับการเที่ยวประเทศไทยโซนบน (ตะวันตก ตะวันออก เหนือ อีสาน)
ณ วันที่นั่งเขียนบทความนี้ ทริปได้สำเร็จลงแล้วอย่างสมบูรณ์ในช่วงกลางเดือนเมษายน ปี 2024 เป็นทริปที่โคตรดี โคตรบ้าที่สุดในชีวิต และจะได้มาเล่าให้เพื่อนๆได้ฟังว่า 90 วันนั้นผมได้อะไรบ้าง ผมเชื่อว่าทริปนี้เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล ทั้งมุมมอง ความคิด และวิธีใช้ชีวิต ระหว่างทาง ผมได้เจอผู้คนและเรื่องราวมากมาย ทั้งดีร้าย ได้เห็นธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งภูเขา ทะเล น้ำตก ป่าไม้ ได้กินอาหารหลากหลาย ทั้งอร่อย ทั้งแปลก ทั้งถูกปาก มีฝืดคอบ้างแต่ก็ไม่ได้แย่ ได้นอนในที่หลากหลาย ทั้งโรงแรม ทั้งเกสเฮาส์เล็กๆ นอนเต็นท์กลางป่า ศาลาวัด ใต้สะพาน
ผมได้เจอปัญหามากมาย ทั้งรถเสีย ยางรั่ว ทั้งฝนตกหนัก ทั้งหลงทาง เงินก็ใกล้หมด แต่ทุกปัญหา มันทำให้ผมเติบโต มันทำให้ผมเข้มแข็ง มันทำให้ผมรู้จักแก้ปัญหา มันทำให้ผมรู้จักขอความช่วยเหลือ
ผมได้เรียนรู้ว่า คนไทยใจดีมากๆ ทุกที่ที่ผมไป มีคนยื่นมือมาช่วยเหลือเสมอ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดา หรือคนในเมือง ทุกคนพร้อมที่จะช่วย พร้อมที่จะแบ่งปัน แม้ว่าเราจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน บางเรื่องที่เกิดมันทำให้เราเข้าใจ รู้จัก และรัก "ประเทศไทย" มากขึ้นกว่าที่เคย
มันไม่ใช่แค่ทริปท่องเที่ยว แต่มันคือบทเรียนชีวิตที่ไม่มีในตำรา และผมจะเล่ามันให้ทุกคนได้ฟังต่อไปใน EP ถัดๆไปครับ